วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556

เด็กไทยอ่อนคิดวิเคราะห์ ฉุดคะแนนสอบตกต่ำ??



เด็กไทยอ่อนคิดวิเคราะห์ ฉุดคะแนนสอบตกต่ำ??

ตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบันการศึกษาของไทยมักจะสอนในลักษณะของการให้เด็กใช้การท่องจำเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาการทำให้เด็กไม่ได้ใช่สมองในการคิด วิเคราะห์ และค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆเพิ่มเติมนอกจากบทเรียน โดยสิ่งที่สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ มองดูได้ง่ายๆจากผลการสอบต่างๆ ที่ทุกวันนี้ที่ระบบของการศึกษาของไทยได้พยายามที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบข้อสอบให้เด็กได้คิดวิเคราะห์มากขึ้น ผลที่ได้ออกมาคือคะแนนของเด็กมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเด็นดังกล่าวจะโทษที่ตัวเด็กอย่างเดียวก็คงไม่ถูกนัก เพราะคงต้องพูดถึงเรื่องระบบการศึกษา การออกข้อสอบ และอีกหลายปัจจัย เพื่อจะแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ได้

โดยล่าสุดในการจัดสอบ GAT/PAT คะแนนของผลสอบที่ออกมาปรากฏว่าผลสอบของ GAT 1

ที่เป็นข้อสอบเกี่ยวกับทางด้านของการคิดวิเคราะห์แก้ไขโจทย์ปัญหา มีคะแนนผลการสอบเฉลี่ยที่น้อยที่สุด โดยช่วงคะแนนของผู้สอบทั้งหมดอยู่ที่ 0.00-30.00 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 31.12 % ของผู้เข้าสอบทั้งหมดจำนวน 100,512 คน หลังจากที่ผลคะแนนสอบออกมานั้นทาง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จึงได้ตระหนักถึงปัญหาคะแนนของเด็ก ที่มีค่าเฉลี่ยคะแนนตกต่ำลงทุกปีอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ สทศ. และ สพฐ. จึงกำลังเร่งหาทางแก้ไขในเรื่องดังกล่าวนี้อย่างยั่งยืน เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงการเรียนการสอน
 
ถามถึงมุมมองของผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการการศึกษาถึงมุมมองในด้านการคิดวิเคราะห์ของเด็ก ณัฐธีร์ โกศลพิศิษฐ์ หรือ บ็อบ บดินทร์ นักข่าว นักแสดง และผู้บริหารโรงเรียนกวดวิชา กล่าวว่า
 
ทุกวันนี้การออกข้อสอบของไทยยังไม่ค่อยนิ่งว่าแนวข้อสอบจะออกมารูปแบบใด จึงไม่สามารถเอาสถิติจากอดีตมาเทียบกับปัจจุบันได้ ทำให้มีทั้งข้อสอบที่ยากและง่ายคละเคล้ากันไป บางครั้งข้อสอบที่ยากจนเกินไปก็อาจทำให้ค่าเฉลี่ยต่ำลงได้ แต่ถ้ามองลึกลงไปอีกว่าทุกครั้งในจำนวนเด็กที่สอบทั้งหมด นอกจากเด็กที่ได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์แล้ว ก็ยังมีเด็กสอบได้คะแนนสูงอยู่ด้วยเช่นกัน แสดงให้เห็นว่ายังมีคนที่ทำข้อสอบได้อยู่ และข้อสอบไม่ได้ยากเกินความสามารถที่จะทำได้ สิ่งที่รบกวนสมาธิของเด็กอาจเป็นอุปกรณ์อิเล็คทรอนิค ที่ช่วยให้การท่องโลกโซเชี่ยลมีเดียเพื่อความบันเทิงมากเกินไปทำให้ขาดสมาธิในการเรียน ซึ่งถือเป็นการทดสอบเด็กในยุคนี้เช่นกัน เด็กที่ตั้งใจและมีสมาธิในการเรียนและหมั่นค้นคว้าความรู้ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดี ส่วนเด็กที่ภูมิต้านทานต่ำไขว้เขวไปตามสิ่งยั่วยุ ผลลัพธ์ก็จะออกมาต่างกัน

"ในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ค่อยมีข้อสอบคิดวิเคราะห์ แต่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มข้อสอบคิดวิเคราะห์เข้ามามีบทบาทกับการศึกษามากขึ้น ผมมองว่าการวิเคราะห์เป็นเรื่องดีสำหรับเด็ก และดีสำหรับการเรียนรู้ คนที่เก่งแต่ท่องจำอย่างเดียว พอถึงเวลาที่ต้องทำงานจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ แนวข้อสอบแบบนี้ทำให้เด็กต้องใช้ความคิดมากขึ้นซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับตัวเด็ก การศึกษาของไทยควรเพิ่มหลักสูตรการคิดวิเคราะห์เข้าไปในบทเรียนให้มากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับข้อสอบและแนวทางการเรียนสมัยใหม่ แต่หากเพิ่งเริ่มต้นก็ต้องมองผลในระยะยาว อีกหนึ่งเรื่องคือเรื่องของงานที่เยอะเกินไป ทำให้เด็กไม่ค่อยได้ใช้เวลากับงานชิ้นนั้นๆอย่างแท้จริง

หลายโรงเรียนอาจารย์เน้นเชิงปริมาณมากไป อาจารย์ทุกวิชาต้องการรายงาน แต่ก็ยังมีหลายโรงเรียนที่เน้นที่คุณภาพของงานเป็นหลัก ผมมองว่าในหนึ่งเทอมมีรายงานแค่ 2-3 ชิ้นก็น่าจะพอ แต่ต้องเป็นรายงานที่เด็กสามารถนำเสนอได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่ส่งรายงานแล้วจบ การอ่านจะส่งเสริมให้เด็กรู้จักการคิดวิเคราะห์ อาจารย์ต้องให้เด็กนำเสนอรายงานตัวเองหน้าห้อง และเด็กต้องรู้เรื่องที่ตัวเองทำรายงานมาอย่างแท้จริง"

สำหรับแนวทางในการเรียนที่อยากให้เกิดขึ้น บ็อบ บดินทร์ กล่าวว่า
 
ต้องหาตัวตนเด็กแต่ละคนให้เจอก่อนว่าเด็กคนนี้ถนัดด้านใด ทุกวันนี้การเรียนใส่ความรู้ให้เด็กมากเกินไป ทั้งเรื่องที่เด็กควรรู้และไม่ควรรู้ทำให้บางครั้งใส่ไปเต็มร้อยเด็กอาจรับได้แค่สิบ  ความรู้แบบพอเหมาะพอดี เป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่า ตนเข้าใจว่าประเทศไทยต้องเริ่มมองหาความเชี่ยวชาญของเด็กแต่ละเพศวัย ต้องส่งเสริมให้เด็กไปถึงปลายทางอย่างเต็มที่ บางเรื่องที่ไม่จำเป็นให้เด็กเรียนรู้เพียงกระบวนการทำก็ได้ ไม่ต้องเจาะลึกให้เสียเวลา อย่างการศึกษารูปแบบอินเตอร์ ที่จะเริ่มให้เด็กค้นหาตัวเองก่อน จากนั้นจึงให้เลือกเรียนในสิ่งที่สนใจ แล้วเด็กจะสนใจการเรียนมากขึ้น ตนเชื่อว่าไม่มีใครมีความรู้รอบด้านอย่างแท้จริง มีแต่คนรู้ลึกในสิ่งที่ตนเองถนัดและสนใจ น้อยคนที่จะเป็นอัจฉริยะบุคคลที่รอบรู้ทุกด้าน เพราะฉะนั้นถ้าจะพัฒนาศักยภาพของเด็กต้องส่งเสริมให้ถูกทาง

"ผมอยากให้เด็กๆทุกคนใช้เวลาในการเรียนให้คุ้มค่า แล้วก็พยายามใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ผลักดันตัวเองออกไปเจอกับสถานการณ์จริงเพื่อสร้างเสริมประสบการณ์บ้างยามว่าง อย่ามัวเรียนรู้แค่ในห้องเรียน เพราะนอกห้องเรียนก็มีความรู้ให้เราศึกษาค้นคว้าอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการอบรม การแข่งขันที่มีจัดขึ้นหลายเวที ความรู้ในตำราถ้าตั้งใจจริงก็สามารถเรียนทันได้ แต่ประสบการณ์จากโลกภายนอก ถ้าไม่ค้นหาทำอย่างไรก็ไม่เจอ ผู้ปกครองนับเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาเด็ก ถ้ามีเวลาให้กับเขาผลลัพธ์ก็ออกมาดี พ่อแม่อย่าแค่เพียงตั้งความหวัง ต้องลงมือทำไปพร้อมกับเด็กๆด้วย แม้อนาคตอาจไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ใจหวัง แต่ก็ได้รู้ว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว "

ที่มาของข้อมูล กระทรวงศึกษาธิการ

http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?topic=3145.0

ชีวอโรคยา

ชีวอโรคยา

ขึ้นฉ่าย ลดความดัน ล้างพิษบุหรี่ ต้านมะเร็ง รักษาโรคเก๊าท์-ไขข้อ 

สุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดเลือด ลดความดันโลหิต ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือดื่มน้ำขึ้นฉ่ายคั้นสด 1 แก้วทุกเช้า เพื่อช่วยควบคุมความดันเลือดให้คงที่ จะได้ผลหลังกินความดันจะลดใน 1 ชั่วโมงและคงที่อยู่ได้ถึง 5 ชั่วโมง และยังรักษานิ่วในไต เก๊าท์ โรคไขข้อได้อีกด้วย

ขึ้นฉ่ายยังมีสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย

คนไทยนิยมใส่ขึ้นฉ่ายในต้มเลือดหมู แกงจืดฯลฯ ปัจจุบันมีขึ้นฉ่ายฝรั่งต้นใหญ่ๆ หรือเซเลอรี (Celery) ที่นิยมนำมาคั้นสดขายทำให้หากินได้ง่ายขึ้น






มะเขือพวง จับไขมันอิ่มตัว ดูดซึมไขมันออกจากร่างกาย กำจัดของเสีย ต้านอนุมูลอิสระ กินแกงกะทิครั้งต่อไป อย่าลืมตักมะเขือพวงเข้าปากด้วยนะคะ

มะเขือพวง เป็นส่วนหนึ่งของอาหารประเภท ผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริก สมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเยอะ ใส่ไก่น้อย เน้นการกินมะเขือเป็นหลักแต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าม คนแกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน

มะเขือ พวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย
โบราณคิดเครื่องประกอบอาหารมาดีมาก เรากลับเขี่ยมันออก เท่ากับการทิ้งของดีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย 

คุณสมบัติทางสมุนไพร น้ำกระเจี๊ยบช่วยทำความสะอาดทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้


คุณสมบัติทางสมุนไพร น้ำกระเจี๊ยบช่วยทำความสะอาดแบคทีเรีย และไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้



น้ำกระเจี๊ยบ คุณค่ามากกว่าที่คิด

คุณสมบัติทางสมุนไพร น้ำกระเจี๊ยบช่วยทำความสะอาดแบคทีเรีย และไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้



รูปภาพ : น้ำกระเจี๊ยบ คุณค่ามากกว่าที่คิด

คุณสมบัติทางสมุนไพร น้ำกระเจี๊ยบช่วยทำความสะอาดแบคทีเรีย และไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ไม่พึ่งสารเคมีไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ 

หากท่านชอบข้อมูลของเรา กรุณาช่วยกดไลค์ให้เพจ ชีวอโรคยา 
http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%B2/135957369811772
ด้วยนะคะ 
ขอบคุณมากค่ะ

เครดิต: ภาพจากอินเตอร์เน็ต

ตำลึงผักสวนครัวข้างรั้ว เป็นอาหารอร่อยมีประโยชน์สูง มีสรรพคุณทางยาป้องกันโรค อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ป้องกันโรคมะเร็ง หัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีฟอสฟอรัส เหล็ก ไนอาซ

ตำลึงยังช่วยผลิตน้ำดีทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดี และมีสารช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย





"ส้ม" หากินง่ายประโยชน์มากมาย ต้านอนุมูลอิสระ ผิวสวยใสกระจ่าง ลดคอเรสเตอรอล ปรับระดับน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการกรองสารพิษของตับอุดมด้วยวิตามินซี-ดี-แคลเซียม 

“ส้ม” ในที่นี้หมายถึง "ผลไม้ตระกูลส้ม" (Citrus) ทั้งหมด เช่น มะนาว เลมอน มะกรูด ส้มโอ เกรปฟรุต ฯลฯ มีประโยชน์มากมายคือ

บำรุงผิว
ผลไม้ตระกูลส้มมีสารไฟโตนิวเทรียนต์มากมาย เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีสารกลุ่มฟลาวาโนนส์ สารแอนโธไชยานินส์ สารโพลีฟีนอลส์ และวิตามินซี ที่ช่วยทำให้ผิวสวยกระจ่างใ

เสริมสร้างกระดูก
ส้มให้สารแคลเซียม และวิตามินดีแก่ร่างกายได้เท่ากับนม และแคลเซียมเสริมสร้างกระดูก วิตามินดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมจากอาหาร วิตามินซีในส้มจะช่วยเพิ่มกระบวนการดูดซึมได้ดีขึ้น แต่ “กรดอซิติค” ในผลไม้พวกนี้อาจทำลายสารเคลือบฟันได้ จึงควรแปรงฟันภายในหนึ่งชั่วโมงหลังจากกินส้ม

ปกป้องหัวใจ
เปลือกของผลไม้ตระกูลส้มมีสารมหัศจรรย์อยู่มากมาย อาทิ Polymethoxylated Flavones (PMFs) และสาร D-Limonene ช่วยลดคอเลสเตอรอล ปรับระดับน้ำตาลในเลือด และกระตุ้นการกรองสารพิษของตับ นอกจากนี้ การศึกษายังชี้ว่า เม็ดสีในส้มเขียวหวานจะช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) โดยไม่ส่งผลต่อคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ความจริงแล้วเปลือกส้มอาจลดคอเลสเตอรอลได้ดีกว่ายาปฏิชีวนะบางตัว ที่ขายกันแพงๆ เสียอีก

ขับถ่ายคล่อง
ตำรับจีนมักจะเสิร์ฟเปลือกส้มคู่กับอาหาร เนื้อสัตว์ เพื่อย่อยอาหารที่มีไขมันสูง บางตำราแนะนำให้เริ่มวันใหม่ด้วยน้ำเลมอน 12 ออนซ์ ผสมกับน้ำกรองแล้วที่อุณหภูมิปกติ จะช่วยชะล้างของเสียในระบบย่อยอาหารและลำไส้ได้ เพราะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ

บำรุงสายตา
ผลไม้ตระกูลส้มอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องแก้วตาจากโรคต้อกระจก และการศึกษายังพบว่าการบริโภควิตามินอีและซีในปริมาณมาก จะช่วยป้องกันโรคต้อกระจกได้ แม้แต่ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนี้สูง

ทำให้อารมณ์ดี
จะกินหรือดมก็ได้ผลจากสารโฟเลต ซึ่งช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนซีโรโทนิน อันเป็นสารแห่งความสุข กลิ่นของผลไม้ตระกูลส้มทำให้เราเบิกบานได้ การใช้น้ำมันหอมที่สกัดจากผลไม้ตระกูลส้มจะทำให้คุณสดชื่นร่าเริง อารมณ์ดี 



สับปะรด ลดความอ้วนได้ ป้องกันอนุมูลอิสระ ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือด ช่วยให้เหงือกแข็งแรง ป้องกันมะเร็ง โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต 

สรรพคุณของสับปะรด

1. ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง กินวันละหนึ่งชิ้นก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซี ช่วยในการทำงานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อและต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ แต่ในผู้ที่มีเลือดจางไม่ควรกินมากนัก

2. ช่วยในการย่อยอาหาร สับปะรดมีกากใยอาหารอาหารมากซึ่งมีความสำคัญกับการย่อยอาหาร กากใยอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล ทำให้ระบบย่อยอาหารได้ดี มีผลต่อการลดน้ำหนักได้ ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือดและช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งได้ถึง 20%

3. ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน แมงกานีส ช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ ทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต นอกจากนี้ สารแอนตี้ออกซิแดนท์ยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

4. ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านม เพราะสับปะรด มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ร้ายในปอด ป้องกันมะเร็งรังไข่

5. ช่วยให้เหงือกแข็งแรง สุขภาพในช่องปากแข็งแรง เนื่องจากสับปะรดมีวิตามินสูงที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหงือกได้

6. ช่วยยับยั้งการอักเสบ เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยยับยั้งการอักเสบ ทั้งนี้ ชาวอเมริกาใต้โบราณใช้สับปะรดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและรักษาบาดแผล

แม้ว่าสับปะรดจะมีประโยชน์มาก แต่ก็ควรกินพอประมาณ เช่น วันละหนึ่งชิ้น และกินผลไม้อื่นๆ ให้หลากหลาย เพราะสับปะรดมีกรดมากอาจกัดกระเพาะได้





ผิวพรรณสดใสอ่อนเยาว์ป้องกันสารพัดโรคได้ด้วย “น้ำมะพร้าวอ่อน” 
“น้ำทิพย์จากสวรรค์” ทำให้ผิวพรรณดีดูอ่อนกว่าวัย มีเอสโตรเจนสูงป้องกันอาการวัยทอง ป้องกันอัลไซเมอร์ เป็นน้ำเกลือแร่ธรรมชาติ มีฤทธิ์สมานแผล รักษาโรคหัวใจ โรคตับ โรคไต ทางเดินปัสสาวะอักเสบ

มีคุณสมบัติเป็นธาตุเย็น ช่วยล้างพิษ ดูดซับ-ขับของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสวยสดใส มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการครบถ้วน มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เนื้อมะพร้าวอ่อนและแก่ ได้รับการยืนยันในทางการแพทย์ว่าช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่าเนื้อมะพร้าวและกะทิจะทำลายสุขภาพ ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะในเนื้อมะพร้าวมีไขมันเชิงเดี่ยวเผาผลาญได้ง่าย ทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานในการเผาผลาญจึงถือได้ว่าช่วยลดความอ้วนได้อีกทางหนึ่งด้วย

ถือว่าเป็นน้ำเกลือแร่ธรรมชาติ (Mineral Water) ในหนึ่งผลมีปริมาณน้ำ 400-465 ซีซี ดื่มแล้วร่างกายจะได้รับวิตามินบี วิตามินซี เพียงพอกับความต้องการต่อวันโดยไม่ต้องหาเพิ่มจากแหล่งไหนอีกเลย โดยมีวิตามินดังนี้คือ niacin, pantothenic acid, biotin, riboflavin, folic acid ,thiamin pyridoxine และยังมีเกลือแร่ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญเช่น sodium, potassium, calcium, magnesium, iron, copper, phosphorus

ในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน FAO ส่งเสริมให้พัฒนาน้ำมะพร้าวอ่อนเป็น Sport Drink เนื่องจากมีเกลือแร่สำคัญสูง ได้รับการยืนยันทางการแพทย์ว่าช่วยป้องกันโรคหัวใจ เป็นยารักษาโรคหลายชนิดเช่น อหิวาตกโรค คนไข้ที่มีภาวะความเป็นกรดในเลือดสูง โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันและรักษาโรคหัวใจ โรคตับ โรคไต รักษาโรคท้องมาน (As cites) ได้ด้วย

เนื่องจากมะพร้าวมีลำต้นสูง ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นมะพร้าวกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบน น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงมีความบริสุทธิ์สูง เป็นอาหารที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะบริสุทธิ์และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปได้ง่าย


รูปภาพ : ผิวพรรณสดใสอ่อนเยาว์ป้องกันสารพัดโรคได้ด้วย “น้ำมะพร้าวอ่อน” 
 “น้ำทิพย์จากสวรรค์” ทำให้ผิวพรรณดีดูอ่อนกว่าวัย มีเอสโตรเจนสูงป้องกันอาการวัยทอง ป้องกันอัลไซเมอร์ เป็นน้ำเกลือแร่ธรรมชาติ มีฤทธิ์สมานแผล รักษาโรคหัวใจ โรคตับ โรคไต ทางเดินปัสสาวะอักเสบ

มีคุณสมบัติเป็นธาตุเย็น ช่วยล้างพิษ ดูดซับ-ขับของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสวยสดใส มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการครบถ้วน มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เนื้อมะพร้าวอ่อนและแก่ ได้รับการยืนยันในทางการแพทย์ว่าช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่าเนื้อมะพร้าวและกะทิจะทำลายสุขภาพ ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะในเนื้อมะพร้าวมีไขมันเชิงเดี่ยวเผาผลาญได้ง่าย ทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานในการเผาผลาญจึงถือได้ว่าช่วยลดความอ้วนได้อีกทางหนึ่งด้วย 

ถือว่าเป็นน้ำเกลือแร่ธรรมชาติ (Mineral Water) ในหนึ่งผลมีปริมาณน้ำ 400-465 ซีซี ดื่มแล้วร่างกายจะได้รับวิตามินบี วิตามินซี เพียงพอกับความต้องการต่อวันโดยไม่ต้องหาเพิ่มจากแหล่งไหนอีกเลย โดยมีวิตามินดังนี้คือ  niacin, pantothenic acid, biotin, riboflavin, folic acid ,thiamin pyridoxine และยังมีเกลือแร่ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญเช่น sodium, potassium, calcium, magnesium, iron, copper, phosphorus

ในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน FAO ส่งเสริมให้พัฒนาน้ำมะพร้าวอ่อนเป็น Sport Drink เนื่องจากมีเกลือแร่สำคัญสูง ได้รับการยืนยันทางการแพทย์ว่าช่วยป้องกันโรคหัวใจ เป็นยารักษาโรคหลายชนิดเช่น อหิวาตกโรค คนไข้ที่มีภาวะความเป็นกรดในเลือดสูง โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันและรักษาโรคหัวใจ โรคตับ โรคไต รักษาโรคท้องมาน (As cites) ได้ด้วย 

เนื่องจากมะพร้าวมีลำต้นสูง ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นมะพร้าวกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบน น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงมีความบริสุทธิ์สูง เป็นอาหารที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะบริสุทธิ์และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปได้ง่าย

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ไม่พึ่งสารเคมีไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ 

หากท่านชอบข้อมูลของเรา กรุณาช่วยกดไลค์ให้เพจ ชีวอโรคยา 
http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%B2/135957369811772
ด้วยนะคะ 
ขอบคุณมากค่ะ

เครดิต: ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

ผิวขาวใสปิ๊ง! กำจัดกระ ฝ้า ไร้สารพิษ ด้่วยราคาถูกเว่อร์ กับ "มะขามเปียก"

มะขามเปียก ที่เรานำมาแกงส้ม ใส่ส้มตำนี่แหละค่ะ นอกจากจะทำให้ผิวขาวขึ้นแล้ว ยังกำจัด กระ ฝ้า ได้ดีมาก เพราะมีสรรพคุณเป็นกรด AHA ในปริมาณที่สามารถใช้ขัดผิวหน้า ผิวตัว หรือแม้กระทั่งจุดแห้งกร้านให้เนียนนุ่ม และขาวใสขึ้นได้ อยากขาวไม่ต้องพึ่งกลูตาไธโอน ให้เสี่ยงมะเร็ง ต้องมีมะขามเปียกติดบ้านไว้นะคะ มีหลายสูตรให้เลือกทำค่ะ

1. มะขามเปียกผสมน้ำอุ่น คั้นข้นๆ กรองเอาแต่น้ำมะขาม อย่าให้ติดเศษเปลือก-เศษสาแหรกเส้นใยมะขาม มันจะบาดผิว นำมาขัดหน้าได้เลย 5 นาที ขัดพอกบริเวณผิวด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก เข่า ฯลฯ 15 นาที อยากขาวทั้งตัวก็ให้ขัดทั้งตัว (จะรู้สึกแสบนิดๆนะคะ) แล้วล้างออก ทำบ่อยๆ ขาวโบ๊ะดูมีออร่าไปทั้งตัว

2. สูตรผิวเนียน มะขามเปียก 1 กำมือ + นมสดจืด 3 ช้อนโต๊ะ + น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน ขัดได้ทั้งตัว ขาวใสปิ๊ง ผิวเนียนนุ่ม ขัดหน้า 5 นาที ขัดตัว 15 นาที นะคะ

3. สูตรผิวเหลืองประกาย มะขามเปียก 1 ก้อน + นมสดรสจืด 4 ช้อนโต๊ะ + ขมิ้นผง 2 ช้อนโต๊ะ + ดินสอพอง 2 ก้อน ผสมให้เข้ากัน ขัดได้ทั้งตัว ขัดหน้า 5 นาที ขัดตัว 15 นาที นะคะ ผิวจะสวยตำรับชาววังเลยค่ะ

รูปภาพ : ผิวขาวใสปิ๊ง! กำจัดกระ ฝ้า ไร้สารพิษ ด้่วยราคาถูกเว่อร์ กับ "มะขามเปียก"

มะขามเปียก ที่เรานำมาแกงส้ม ใส่ส้มตำนี่แหละค่ะ นอกจากจะทำให้ผิวขาวขึ้นแล้ว ยังกำจัด กระ ฝ้า ได้ดีมาก เพราะมีสรรพคุณเป็นกรด AHA ในปริมาณที่สามารถใช้ขัดผิวหน้า ผิวตัว หรือแม้กระทั่งจุดแห้งกร้านให้เนียนนุ่ม และขาวใสขึ้นได้ อยากขาวไม่ต้องพึ่งกลูตาไธโอน ให้เสี่ยงมะเร็ง ต้องมีมะขามเปียกติดบ้านไว้นะคะ มีหลายสูตรให้เลือกทำค่ะ

1. มะขามเปียกผสมน้ำอุ่น คั้นข้นๆ กรองเอาแต่น้ำมะขาม อย่าให้ติดเศษเปลือก-เศษสาแหรกเส้นใยมะขาม มันจะบาดผิว นำมาขัดหน้าได้เลย 5 นาที ขัดพอกบริเวณผิวด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก เข่า ฯลฯ 15 นาที อยากขาวทั้งตัวก็ให้ขัดทั้งตัว (จะรู้สึกแสบนิดๆนะคะ) แล้วล้างออก ทำบ่อยๆ ขาวโบ๊ะดูมีออร่าไปทั้งตัว

2. สูตรผิวเนียน มะขามเปียก 1 กำมือ + นมสดจืด 3 ช้อนโต๊ะ + น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน ขัดได้ทั้งตัว ขาวใสปิ๊ง ผิวเนียนนุ่ม ขัดหน้า 5 นาที ขัดตัว 15 นาที นะคะ

3. สูตรผิวเหลืองประกาย  มะขามเปียก 1 ก้อน + นมสดรสจืด 4 ช้อนโต๊ะ +   ขมิ้นผง 2 ช้อนโต๊ะ + ดินสอพอง 2 ก้อน ผสมให้เข้ากัน ขัดได้ทั้งตัว ขัดหน้า 5 นาที ขัดตัว 15 นาที นะคะ ผิวจะสวยตำรับชาววังเลยค่ะ

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ไม่พึ่งสารเคมีไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ 

หากท่านชอบข้อมูลของเรา กรุณาช่วยกดไลค์ให้เพจ ชีวอโรคยา 
http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%B2/135957369811772
ด้วยนะคะ 
ขอบคุณมากค่ะ

ผักรักษาโรค


ปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตอย่างหนึ่ง คือ อาหารในแต่ละวันร่างกาย ต้องการอาหารครบ 5 หมู่ อาหารแต่ละชนิด ให้คุณค่าแตกต่างกันไป อาหารพวก "ผัก" ไม่เพียงแต่รับประทานแล้วอร่อยและอิ่มท้องเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางยาแอบแฝงอยู่อีกด้วย
ในผักมีอะไร
ผัก เป็นอาหารที่มีคุณค่ามากชนิดหนึ่ง เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ เช่น เกลือแร่ วิตามิน อยู่เป็นจำนวนมาก สารบางอย่างจะมีเฉพาะในผักเท่านั้น สิ่งสำคัญ ที่พบมากในผักทุกชนิดคือ ใยพืช (Fiber) ซึ่งเป็นส่วนที่ย่อยไม่ได้ และไม่ให้พลังงาน นอกจากมีมากในผักแล้ว ยังพบได้ในถั่วต่างๆ เช่น ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ข้าวซ้อมมือ ข้าวแดง เป็นต้น
ใยพืชมีประโยชน์อย่างไร
1.
ให้พลังงานน้อย
2.
ลดอัตราการดูดซึมของน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลภายหลังอาหารลดลง
3.
ช่วยลดการดูดซึมไขมัน
4.
กระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้ เป็นต้น
มากินผักกันเถอะ
การรับประทานผักจำนวนมากๆ หลายชนิดเป็นประจำ นอกจากทำให้ร่างกายแข็งแรง และเจริญเติบโตแล้ว ยังสามารถป้องกันโรคบางชนิดได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
เห็ดหอม
เป็นเห็ดมีขายกันในรูปเห็ดตากแห้ง เห็ดหอมมีรสหวาน มีกลิ่นหอม สารเคมีที่พบมีเส้นใย ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กและวิตามินบี มีการทดลองพบว่า เห็ดหอมมีฤทธิ์ลดโคเลสเตอรอลในเลือด ถ้ารับประทานเห็ดหอม เป็นยาบำรุงกำลังช่วยย่อย ลดอาการเบื่ออาหาร

งา
มีกลิ่นหอม มีน้ำมันมาก มีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรด วิตามินบี 1, บี 2, วิตามินอี และเกลือแร่หลายชนิด สรรพคุณบำรุงกำลัง แก้ท้องผูก ผมหงอกก่อนวัย ลดโคเลสเตอรอลในเลือด และเสริมภูมิต้านทานโรค ถ้ารับประทานเป็นประจำ ข้อระวังผู้มีท้องร่วงเรื้อรัง ไม่ควรรับประทาน
ถั่ว
ได้แก่ ถั่วลันเตา ถั่วแขก มีสารอาหารที่สำคัญคือ โปรตีน ไขมัน และเกลือแร่หลายชนิด มีคุณค่าอาหารครบถ้วน มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ลดอาการบวมน้ำได้
ขี้เหล็ก
ใช้ใบรับประทาน ใบขี้เหล็กมีวิตามินเอ วิตามินซี เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และไนอาซินสรรพคุณทางยาของใบขี้เหล็ก มีสารชนิดหนึ่งออกฤทธิ์ต่อประสาท ทำให้นอนหลับดี แก้ท้องผูกได้ดี และบำรุงร่างกาย
ตำลึง
เป็นไม้เถา ใช้ใบรับประทาน เป็นพืชมีคุณค่าสูงทั้งวิตามินเอ แคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก ยังมีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรด ฟอสฟอรัส เหล็ก เหมาะเป็นอาหารบำรุง นอกจากนี้ ตำลึงยังมีคุณสมบัติแก้แพ้ได้ดี โดยนำใบมาพอกบริเวณโดนสัตว์กัดต่อย
มะระ
เป็นผักจำพวกแตง มีรสขม เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ แก้กระหาย มีการทดลองกินมะระ ลดน้ำตาลในเลือดได้ (ส่วนเม็ดมะระจีนแก่จัด ตากแห้งแกะเปลือกนอกออก นำมาบดให้ละเอียด ละลายน้ำร้อนกินวันละครั้งก่อนนอน จะแก้อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้)
ผักกาด
ผักกาดมี 3 ชนิด ผักกาดขาว ผักกาดเขียว และผักกาดหอม ต่างมีสารอาหารเกลือแร่วิตามินครบบริบูรณ์ และมีเส้นใยอยู่จำนวนมาก การรับประทานเป็นประจำจะป้องกันอาการท้องผูก ลดการเป็นมะเร็งลำไส้ ส่วนผักกาดหอม สามารถป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และวิตามินซีที่มีอยู่ในผัก จะสร้างเสริมภูมิต้านทานโรค
มะเขือยาว
มะเขือมีอยู่ 3 ชนิด เปลือกสีเขียว สีม่วง และสีขาว พบว่าเปลือกสีม่วงและสีขาวมีคุณภาพดีกว่าสีเขียว ในมะเขือมีวิตามินบี 1 จำนวนมาก ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของสมอง ช่วยความจำ ลดอาการอ่อนเปลี้ยของสมอง ในมะเขือยาวนี้ มีโปรตีน แคลเซียม และวิตามินมากกว่ามะเขือเทศ การรับประทานเป็นประจำ จะช่วยให้เส้นเลือดไม่เปราะ ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และโรคลักปิดลักเปิด
ปวยเล้ง
เป็นผักที่มีสีเขียวเข้มมีเส้นใย เกลือแร่ วิตามินซีจำนวนมาก และยังพบว่า มีกรดออกซาลิกอยู่มากเช่นกัน ซึ่งกรดนี้ถ้ารวมตัวกับแคลเซียม จะทำให้เกิดนิ่วได้ ก่อนบริโภค ควรลวกผักปวยเล้งให้สุกก่อนแล้วเทน้ำทิ้งไป จึงนำผักมาปรุงอาหารได้ ทำเช่นนี้กำจัดกรดออกซาลิกออกไป ปวยเล้ง ถ้ารับประทานเป็นประจำ จะยับยั้งการดำเนินของโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวานอีกด้วย
แค
รับประทานดอกมีชนิดสีแดงและสีขาว มีสรรพคุณลดไข้ ส่วนใบแครับประทานเป็นยาระบายได้
หัวปลี
เป็นส่วนดอกของต้นกล้วย ใบหัวปลีมีธาตุเหล็ก จึงบำรุงเลือด แก้โลหิตจาง และยังคงลดน้ำตาลในเลือด และแก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ การนำมาปรุงอาหารได้แก่ ยำหัวปลี หรือรับประทานสดก็ได้
เกร็ดเล็กน้อยในการปรุงอาหารผักให้ได้คุณค่า
1.
การหั่นผักแล้วล้าง น้ำจะทำให้วิตามินซีในผักสูญเสียไป เพราะวิตามินซีสลายตัวได้ง่ายในน้ำ ดังนั้น จะต้องล้างผักก่อนแล้วจึงหั่น และเมื่อหั่นเสร็จแล้ว ควรปรุงทันที
2.
หลังปรุงแล้วควรรับประทานทันที เพราะการทำทิ้งไว้นานๆ หลังปรุง จะทำให้สิ่งมีคุณค่าทางอาหารสูญเสียไปได้
3.
วิธีการหุงต้มผักทุกชนิด ล้วนมีผลต่อการสูญเสียวิตามินซี เนื่องจากวิตามินซีละลายน้ำได้ ดังนั้น การรับประทานผักต้ม จะต้องรับประทานน้ำแกงด้วย การต้มควรจะต้มในน้ำน้อยๆ และใช้เวลาสั้นๆ
4.
การปรุงอาหารจำพวกผัก ถ้าเติมน้ำส้มสายชูลงไปเล็กน้อย จะช่วยเพิ่มรสชาติอาหาร และรักษาวิตามินซีไว้ด้วย
5.
เครื่องครัวที่ใช้ผัดหรือต้มผัก ควรเป็นพวกเหล็ก เพราะจะทำให้วิตามินสูญเสียน้อยกว่าพวกทองแดง
 แหล่งข้อมูล : www.ku.ac.th/e-magazine - นิตยสาร
เกษตรศาสตร์ ฉบับที่ 28 ตุลาคม 2545

http://www.yourhealthyguide.com/article/an-veget-disease.html


วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

เรื่องน่ารู้ของไทย


                                      เรื่องน่ารู้ของไทย

        ในสมัยเด็กๆ หลายคนอาจจะต้องท่องจำว่า ใครคือนายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย แบบเรียนเล่มแรกของไทยชื่ออะไร ใครเป็นผู้แต่งเพลงสรรเสริญพระบารมี ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ แม้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลายคนก็ยังจำได้อยู่ แต่หลายคนก็อาจจะลืมเลือน ดังนั้น เพื่อเป็นการทบทวนความจำ ทั้งความรู้เก่าและเกร็ดความรู้ใหม่ ที่บางคนอาจจะไม่เคยทราบมาก่อนเกี่ยวกับประเทศไทย กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำสาระบางส่วนจากหนังสือ “ความรู้รอบตัว รอบรู้เรื่องเมืองไทย” ของฝ่ายวิชาการชมรมเด็ก ซึ่งจัดพิมพ์โดยสุวีริยาสาส์น มาเพื่อเสนอดังต่อไปนี้

ภาพ:11545464.jpg


 แบบเรียนเล่มแรกของไทย

        แบบเรียนเล่มแรกของไทยชื่อ “จินดามณี” แต่งโดย พระมหาราชครู กวีในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ครองราชย์ปี พ.ศ. 2199 - 2231)

 ถนนสายแรกในเมืองไทย

        ถนนสายแรกในเมืองไทย คือ ถนนเจริญกรุง (New Road) สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อ พ.ศ. 2404 โดยต่อมาได้มีการตัดถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร รวมทั้งถนนพระราม 4 และถนนสีลมในเขตชานพระนคร

ภาพ:jarrenkung.jpg


 น้ำแข็งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรก

        น้ำแข็งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 4 ประมาณ พ.ศ. 2410 สันนิษฐานว่า ผลิตที่สิงคโปร์แล้วส่งมาถวาย โดยใส่หีบกลบขี้เลื่อย คนเฒ่าคนแก่ในสมัยนั้น ไม่เชื่อว่าจะทำน้ำแข็งได้จริง ถึงกับออกปากว่า “จะปั้นน้ำเป็นตัวได้อย่างไร”


 พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เสด็จประพาสต่างประเทศ

        พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่เสด็จประพาสต่างประเทศคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยเสด็จประพาสสิงคโปร์เป็นแห่งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2413 และเสด็จชวาด้วย

ภาพ:ro5.jpg


 ผู้ที่ประพันธ์เพลงสรรเสริญพระบารมี

        ผู้ที่ประพันธ์เพลงสรรเสริญพระบารมี คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ โดยมีนายปโยตร์ ซูโรฟสกี้ (Pyotr Shchurovsky) ชาวรัสเซีย แต่งทำนองเพลงขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2431


 ธนบัตรหรือเงินกระดาษของไทย

        ธนบัตรหรือเงินกระดาษของไทย ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ผลิตขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 พิมพ์ออกใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2445 โดยก่อนหน้านั้น ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้มีการผลิตธนบัตร หรือเงินกระดาษออกใช้เป็นครั้งแรก ในเมืองไทยแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2396 แต่เรียกว่า “หมาย” ทำด้วยกระดาษปอนด์สีขาวรูปสี่เหลี่ยม พิมพ์ลวดลายด้วยหมึกทั้งสองด้าน และประทับตรา พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน ตราจักร และพระราชลัญจกรประจำรัชกาลสีแดงชาด (ลัญจกร อ่านว่า ลัน-จะ-กอน แปลว่า ตราสำหรับใช้ตีหรือประทับ ราชาศัพท์ใช้คำว่า พระราชลัญจกร)

 ผู้ที่คิดออกลอตเตอรี่เป็นคนแรกในเมืองไทย

        ผู้ที่คิดออกลอตเตอรี่เป็นคนแรกในเมืองไทย คือ มิสเตอร์เฮนรี่ อาลบาสเตอร์ (ต้นตระกูล “เศวตศิลา”) ชนชาติอังกฤษ เป็นผู้นำลักษณะการออกรางวัลสลากแบบยุโรปมาเผยแพร่เป็นคนแรก โดยเรียกว่า “ลอตเตอรี่” โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้กรมทหารมหาดเล็กออกลอตเตอรี่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๗ เนื่องในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา

ภาพ:clock.jpg


คนไทยคนแรกที่ได้ขึ้นเครื่องบิน

        คนไทยคนแรกที่ได้ขึ้นเครื่องบิน คือ พระบรมวงศ์เธอ กรมพระยากำแพงเพ็ชรอัครโยธิน โดยประทับเครื่องบินออร์วิลไรท์ คู่กับกัปตัน มร.เวนเดนเปอร์น ซึ่งขับวนเวียนเหนือสนามราชกรีฑาสโมสร เป็นเวลา 3 นาที 45 วินาที เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2453 เป็นเครื่องบินที่บริษัทฝรั่งเศสนำมาแสดง ณ ราชกรีฑาสโมสร(สนามม้านางเลิ้ง) ซึ่งถือว่าเป็นสนามบินแห่งแรก ที่ใช้ในการบินของเมืองไทยด้วย

 พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่ทรงผ่านการศึกษาจากต่างประเทศ

        พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่ทรงผ่านการศึกษาจากต่างประเทศคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จไปศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่เมื่อครั้งทรงยังดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เมื่อปี พ.ศ. 2436 - 2445 รวมระยะเวลา 9 ปี

นามสกุลหมายเลข 1 ที่รัชกาลที่ 6 ทรงคิดพระราชทาน

        นามสกุลหมายเลข 1 ที่รัชกาลที่ 6 ทรงคิดพระราชทาน คือ นามสกุล “สุขุม” พระราชทานเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2456 ต้นสกุลคือ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)

ภาพ:anan.jpg


 ผู้ที่ให้กำเนิดรถแท็กซี่ขึ้นในประเทศไทยครั้งแรก

        ผู้ที่ให้กำเนิดรถแท็กซี่ขึ้นในประเทศไทยครั้งแรก คือ พลโท พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นรถยนต์นั่ง (รถเก๋ง) ยี่ห้อออสติน จำนวน 4 คัน เปิดบริการรับจ้างครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2466 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ในสมัยนั้นเรียกว่า “รถไมล์”

 ประเทศไทยเริ่มนับเวลา ตามแบบสากลครั้งแรก

        ประเทศไทยเริ่มนับเวลา ตามแบบสากลครั้งแรกในสมัย รัชกาลที่ 6 โดยแต่เดิมเรานับเวลาตอนกลางวันเป็น “โมง” และตอนกลางคืนเป็น “ทุ่ม” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้เปลี่ยนมาเรียกว่า “นาฬิกา” (เขียนย่อว่า “น.”) และให้นับเวลาทางราชการใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมเนียมสากลนิยม โดยให้ถือว่าเวลาหลังเที่ยงคืนเป็นเวลาเปลี่ยนวันใหม่ และให้ถือเวลาที่ตำบลกรีนิช ประเทศอังกฤษเป็นมาตรฐาน ซึ่งเวลาในประเทศไทย เป็นเวลาก่อนหรือเร็วกว่าเวลาที่กรีนิช 7 ชม. เช่น ไทยเป็นเวลา 19.00 น. ทางกรีนิชเท่ากับ 12.00 น. เป็นต้น

 ผู้ที่ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทยเครื่องแรก

        ผู้ที่ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทยเครื่องแรก คือ มิสเตอร์เอ็ดวิน แมกพาแลนด์ ยี่ห้อเรมิงตัน

นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย

        นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย คือ พระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เข้าดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 - 20 มิถุนายน พ.ศ.2476 ส่วนนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่งคือ นายควง อภัยวงศ์ หลังจากที่เข้าดำรงตำแหน่งได้ประมาณ 1 เดือนเศษ ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2491 ได้ถูกคณะนายทหารเข้าพบ เพื่อขอร้องแกมบังคับ ให้ลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้เพื่อเปิดทางให้กับจอมพลป. พิบูลสงคราม กลับเข้าเป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 3

ภาพ:manopakorn.jpg


ยศสูงสุดของทหารไทย

        ยศสูงสุดของทหารไทย คือ ยศจอมพล แต่ปัจจุบันไม่มีการแต่งตั้งแล้ว ยศสูงสุดทางทหารในปัจจุบันคือ “พลเอก” ผู้ที่เป็นจอมพลคนแรกของไทยคือ จอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภานุพันธุวงศ์วรเดช ทรงเป็นต้นสกุล “ภาณุพันธุ์” ส่วนจอมพลคนแรกในระบอบประชาธิปไตย คือ จอมพลป. พิบูลสงคราม และคนสุดท้าย ที่ดำรงตำแหน่งจอมพลในระบอบประชาธิปไตยคือ จอมพลประภาส จารุเสถียร เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2516 (สำหรับพระมหากษัตริย์ จะทรงดำรงตำแหน่ง “จอมทัพไทย”)

ผู้ประพันธ์เพลงชาติไทยในปัจจุบัน

        ผู้ประพันธ์เพลงชาติไทยในปัจจุบัน คือ พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยากร) เป็นผู้แต่งทำนอง และหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) เป็นผู้แต่งเนื้อร้อง เมื่อ พ.ศ. 2483

 ผู้ที่คิดฝนเทียม หรือ ฝนหลวง ขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย

        ผู้ที่คิดฝนเทียม หรือ ฝนหลวง ขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช โดยได้ทรงค้นคิดและวิจัยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 และทรงถ่ายทอดแนวพระราชดำริ และผลการวิจัยแก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล วิศวกรผู้เชี่ยวชาญทางการเกษตร จนมีการทำฝนหลวงพระราชทานครั้งแรก ในปีพ.ศ. 2512

มกุฎราชกุมารพระองค์แรก ที่ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก

        มกุฎราชกุมารพระองค์แรก ที่ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร


 สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรก ที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย

        สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรก ที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยทรงจบอักษรศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อปี พ.ศ. 2519

 คนไทยคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสมัชชาใหญ่ แห่งสหประชาชาติ

        คนไทยคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสมัชชาใหญ่ แห่งสหประชาชาติ คือ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2499