วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556

ผักรักษาโรค


ปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตอย่างหนึ่ง คือ อาหารในแต่ละวันร่างกาย ต้องการอาหารครบ 5 หมู่ อาหารแต่ละชนิด ให้คุณค่าแตกต่างกันไป อาหารพวก "ผัก" ไม่เพียงแต่รับประทานแล้วอร่อยและอิ่มท้องเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางยาแอบแฝงอยู่อีกด้วย
ในผักมีอะไร
ผัก เป็นอาหารที่มีคุณค่ามากชนิดหนึ่ง เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ เช่น เกลือแร่ วิตามิน อยู่เป็นจำนวนมาก สารบางอย่างจะมีเฉพาะในผักเท่านั้น สิ่งสำคัญ ที่พบมากในผักทุกชนิดคือ ใยพืช (Fiber) ซึ่งเป็นส่วนที่ย่อยไม่ได้ และไม่ให้พลังงาน นอกจากมีมากในผักแล้ว ยังพบได้ในถั่วต่างๆ เช่น ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ข้าวซ้อมมือ ข้าวแดง เป็นต้น
ใยพืชมีประโยชน์อย่างไร
1.
ให้พลังงานน้อย
2.
ลดอัตราการดูดซึมของน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลภายหลังอาหารลดลง
3.
ช่วยลดการดูดซึมไขมัน
4.
กระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้ เป็นต้น
มากินผักกันเถอะ
การรับประทานผักจำนวนมากๆ หลายชนิดเป็นประจำ นอกจากทำให้ร่างกายแข็งแรง และเจริญเติบโตแล้ว ยังสามารถป้องกันโรคบางชนิดได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
เห็ดหอม
เป็นเห็ดมีขายกันในรูปเห็ดตากแห้ง เห็ดหอมมีรสหวาน มีกลิ่นหอม สารเคมีที่พบมีเส้นใย ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กและวิตามินบี มีการทดลองพบว่า เห็ดหอมมีฤทธิ์ลดโคเลสเตอรอลในเลือด ถ้ารับประทานเห็ดหอม เป็นยาบำรุงกำลังช่วยย่อย ลดอาการเบื่ออาหาร

งา
มีกลิ่นหอม มีน้ำมันมาก มีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรด วิตามินบี 1, บี 2, วิตามินอี และเกลือแร่หลายชนิด สรรพคุณบำรุงกำลัง แก้ท้องผูก ผมหงอกก่อนวัย ลดโคเลสเตอรอลในเลือด และเสริมภูมิต้านทานโรค ถ้ารับประทานเป็นประจำ ข้อระวังผู้มีท้องร่วงเรื้อรัง ไม่ควรรับประทาน
ถั่ว
ได้แก่ ถั่วลันเตา ถั่วแขก มีสารอาหารที่สำคัญคือ โปรตีน ไขมัน และเกลือแร่หลายชนิด มีคุณค่าอาหารครบถ้วน มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ลดอาการบวมน้ำได้
ขี้เหล็ก
ใช้ใบรับประทาน ใบขี้เหล็กมีวิตามินเอ วิตามินซี เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และไนอาซินสรรพคุณทางยาของใบขี้เหล็ก มีสารชนิดหนึ่งออกฤทธิ์ต่อประสาท ทำให้นอนหลับดี แก้ท้องผูกได้ดี และบำรุงร่างกาย
ตำลึง
เป็นไม้เถา ใช้ใบรับประทาน เป็นพืชมีคุณค่าสูงทั้งวิตามินเอ แคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก ยังมีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรด ฟอสฟอรัส เหล็ก เหมาะเป็นอาหารบำรุง นอกจากนี้ ตำลึงยังมีคุณสมบัติแก้แพ้ได้ดี โดยนำใบมาพอกบริเวณโดนสัตว์กัดต่อย
มะระ
เป็นผักจำพวกแตง มีรสขม เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ แก้กระหาย มีการทดลองกินมะระ ลดน้ำตาลในเลือดได้ (ส่วนเม็ดมะระจีนแก่จัด ตากแห้งแกะเปลือกนอกออก นำมาบดให้ละเอียด ละลายน้ำร้อนกินวันละครั้งก่อนนอน จะแก้อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้)
ผักกาด
ผักกาดมี 3 ชนิด ผักกาดขาว ผักกาดเขียว และผักกาดหอม ต่างมีสารอาหารเกลือแร่วิตามินครบบริบูรณ์ และมีเส้นใยอยู่จำนวนมาก การรับประทานเป็นประจำจะป้องกันอาการท้องผูก ลดการเป็นมะเร็งลำไส้ ส่วนผักกาดหอม สามารถป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และวิตามินซีที่มีอยู่ในผัก จะสร้างเสริมภูมิต้านทานโรค
มะเขือยาว
มะเขือมีอยู่ 3 ชนิด เปลือกสีเขียว สีม่วง และสีขาว พบว่าเปลือกสีม่วงและสีขาวมีคุณภาพดีกว่าสีเขียว ในมะเขือมีวิตามินบี 1 จำนวนมาก ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของสมอง ช่วยความจำ ลดอาการอ่อนเปลี้ยของสมอง ในมะเขือยาวนี้ มีโปรตีน แคลเซียม และวิตามินมากกว่ามะเขือเทศ การรับประทานเป็นประจำ จะช่วยให้เส้นเลือดไม่เปราะ ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และโรคลักปิดลักเปิด
ปวยเล้ง
เป็นผักที่มีสีเขียวเข้มมีเส้นใย เกลือแร่ วิตามินซีจำนวนมาก และยังพบว่า มีกรดออกซาลิกอยู่มากเช่นกัน ซึ่งกรดนี้ถ้ารวมตัวกับแคลเซียม จะทำให้เกิดนิ่วได้ ก่อนบริโภค ควรลวกผักปวยเล้งให้สุกก่อนแล้วเทน้ำทิ้งไป จึงนำผักมาปรุงอาหารได้ ทำเช่นนี้กำจัดกรดออกซาลิกออกไป ปวยเล้ง ถ้ารับประทานเป็นประจำ จะยับยั้งการดำเนินของโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวานอีกด้วย
แค
รับประทานดอกมีชนิดสีแดงและสีขาว มีสรรพคุณลดไข้ ส่วนใบแครับประทานเป็นยาระบายได้
หัวปลี
เป็นส่วนดอกของต้นกล้วย ใบหัวปลีมีธาตุเหล็ก จึงบำรุงเลือด แก้โลหิตจาง และยังคงลดน้ำตาลในเลือด และแก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ การนำมาปรุงอาหารได้แก่ ยำหัวปลี หรือรับประทานสดก็ได้
เกร็ดเล็กน้อยในการปรุงอาหารผักให้ได้คุณค่า
1.
การหั่นผักแล้วล้าง น้ำจะทำให้วิตามินซีในผักสูญเสียไป เพราะวิตามินซีสลายตัวได้ง่ายในน้ำ ดังนั้น จะต้องล้างผักก่อนแล้วจึงหั่น และเมื่อหั่นเสร็จแล้ว ควรปรุงทันที
2.
หลังปรุงแล้วควรรับประทานทันที เพราะการทำทิ้งไว้นานๆ หลังปรุง จะทำให้สิ่งมีคุณค่าทางอาหารสูญเสียไปได้
3.
วิธีการหุงต้มผักทุกชนิด ล้วนมีผลต่อการสูญเสียวิตามินซี เนื่องจากวิตามินซีละลายน้ำได้ ดังนั้น การรับประทานผักต้ม จะต้องรับประทานน้ำแกงด้วย การต้มควรจะต้มในน้ำน้อยๆ และใช้เวลาสั้นๆ
4.
การปรุงอาหารจำพวกผัก ถ้าเติมน้ำส้มสายชูลงไปเล็กน้อย จะช่วยเพิ่มรสชาติอาหาร และรักษาวิตามินซีไว้ด้วย
5.
เครื่องครัวที่ใช้ผัดหรือต้มผัก ควรเป็นพวกเหล็ก เพราะจะทำให้วิตามินสูญเสียน้อยกว่าพวกทองแดง
 แหล่งข้อมูล : www.ku.ac.th/e-magazine - นิตยสาร
เกษตรศาสตร์ ฉบับที่ 28 ตุลาคม 2545

http://www.yourhealthyguide.com/article/an-veget-disease.html


วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

เรื่องน่ารู้ของไทย


                                      เรื่องน่ารู้ของไทย

        ในสมัยเด็กๆ หลายคนอาจจะต้องท่องจำว่า ใครคือนายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย แบบเรียนเล่มแรกของไทยชื่ออะไร ใครเป็นผู้แต่งเพลงสรรเสริญพระบารมี ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ แม้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลายคนก็ยังจำได้อยู่ แต่หลายคนก็อาจจะลืมเลือน ดังนั้น เพื่อเป็นการทบทวนความจำ ทั้งความรู้เก่าและเกร็ดความรู้ใหม่ ที่บางคนอาจจะไม่เคยทราบมาก่อนเกี่ยวกับประเทศไทย กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำสาระบางส่วนจากหนังสือ “ความรู้รอบตัว รอบรู้เรื่องเมืองไทย” ของฝ่ายวิชาการชมรมเด็ก ซึ่งจัดพิมพ์โดยสุวีริยาสาส์น มาเพื่อเสนอดังต่อไปนี้

ภาพ:11545464.jpg


 แบบเรียนเล่มแรกของไทย

        แบบเรียนเล่มแรกของไทยชื่อ “จินดามณี” แต่งโดย พระมหาราชครู กวีในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ครองราชย์ปี พ.ศ. 2199 - 2231)

 ถนนสายแรกในเมืองไทย

        ถนนสายแรกในเมืองไทย คือ ถนนเจริญกรุง (New Road) สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อ พ.ศ. 2404 โดยต่อมาได้มีการตัดถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร รวมทั้งถนนพระราม 4 และถนนสีลมในเขตชานพระนคร

ภาพ:jarrenkung.jpg


 น้ำแข็งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรก

        น้ำแข็งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 4 ประมาณ พ.ศ. 2410 สันนิษฐานว่า ผลิตที่สิงคโปร์แล้วส่งมาถวาย โดยใส่หีบกลบขี้เลื่อย คนเฒ่าคนแก่ในสมัยนั้น ไม่เชื่อว่าจะทำน้ำแข็งได้จริง ถึงกับออกปากว่า “จะปั้นน้ำเป็นตัวได้อย่างไร”


 พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เสด็จประพาสต่างประเทศ

        พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่เสด็จประพาสต่างประเทศคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยเสด็จประพาสสิงคโปร์เป็นแห่งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2413 และเสด็จชวาด้วย

ภาพ:ro5.jpg


 ผู้ที่ประพันธ์เพลงสรรเสริญพระบารมี

        ผู้ที่ประพันธ์เพลงสรรเสริญพระบารมี คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ โดยมีนายปโยตร์ ซูโรฟสกี้ (Pyotr Shchurovsky) ชาวรัสเซีย แต่งทำนองเพลงขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2431


 ธนบัตรหรือเงินกระดาษของไทย

        ธนบัตรหรือเงินกระดาษของไทย ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ผลิตขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 พิมพ์ออกใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2445 โดยก่อนหน้านั้น ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้มีการผลิตธนบัตร หรือเงินกระดาษออกใช้เป็นครั้งแรก ในเมืองไทยแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2396 แต่เรียกว่า “หมาย” ทำด้วยกระดาษปอนด์สีขาวรูปสี่เหลี่ยม พิมพ์ลวดลายด้วยหมึกทั้งสองด้าน และประทับตรา พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน ตราจักร และพระราชลัญจกรประจำรัชกาลสีแดงชาด (ลัญจกร อ่านว่า ลัน-จะ-กอน แปลว่า ตราสำหรับใช้ตีหรือประทับ ราชาศัพท์ใช้คำว่า พระราชลัญจกร)

 ผู้ที่คิดออกลอตเตอรี่เป็นคนแรกในเมืองไทย

        ผู้ที่คิดออกลอตเตอรี่เป็นคนแรกในเมืองไทย คือ มิสเตอร์เฮนรี่ อาลบาสเตอร์ (ต้นตระกูล “เศวตศิลา”) ชนชาติอังกฤษ เป็นผู้นำลักษณะการออกรางวัลสลากแบบยุโรปมาเผยแพร่เป็นคนแรก โดยเรียกว่า “ลอตเตอรี่” โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้กรมทหารมหาดเล็กออกลอตเตอรี่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๗ เนื่องในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา

ภาพ:clock.jpg


คนไทยคนแรกที่ได้ขึ้นเครื่องบิน

        คนไทยคนแรกที่ได้ขึ้นเครื่องบิน คือ พระบรมวงศ์เธอ กรมพระยากำแพงเพ็ชรอัครโยธิน โดยประทับเครื่องบินออร์วิลไรท์ คู่กับกัปตัน มร.เวนเดนเปอร์น ซึ่งขับวนเวียนเหนือสนามราชกรีฑาสโมสร เป็นเวลา 3 นาที 45 วินาที เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2453 เป็นเครื่องบินที่บริษัทฝรั่งเศสนำมาแสดง ณ ราชกรีฑาสโมสร(สนามม้านางเลิ้ง) ซึ่งถือว่าเป็นสนามบินแห่งแรก ที่ใช้ในการบินของเมืองไทยด้วย

 พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่ทรงผ่านการศึกษาจากต่างประเทศ

        พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่ทรงผ่านการศึกษาจากต่างประเทศคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จไปศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่เมื่อครั้งทรงยังดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เมื่อปี พ.ศ. 2436 - 2445 รวมระยะเวลา 9 ปี

นามสกุลหมายเลข 1 ที่รัชกาลที่ 6 ทรงคิดพระราชทาน

        นามสกุลหมายเลข 1 ที่รัชกาลที่ 6 ทรงคิดพระราชทาน คือ นามสกุล “สุขุม” พระราชทานเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2456 ต้นสกุลคือ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)

ภาพ:anan.jpg


 ผู้ที่ให้กำเนิดรถแท็กซี่ขึ้นในประเทศไทยครั้งแรก

        ผู้ที่ให้กำเนิดรถแท็กซี่ขึ้นในประเทศไทยครั้งแรก คือ พลโท พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นรถยนต์นั่ง (รถเก๋ง) ยี่ห้อออสติน จำนวน 4 คัน เปิดบริการรับจ้างครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2466 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ในสมัยนั้นเรียกว่า “รถไมล์”

 ประเทศไทยเริ่มนับเวลา ตามแบบสากลครั้งแรก

        ประเทศไทยเริ่มนับเวลา ตามแบบสากลครั้งแรกในสมัย รัชกาลที่ 6 โดยแต่เดิมเรานับเวลาตอนกลางวันเป็น “โมง” และตอนกลางคืนเป็น “ทุ่ม” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้เปลี่ยนมาเรียกว่า “นาฬิกา” (เขียนย่อว่า “น.”) และให้นับเวลาทางราชการใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมเนียมสากลนิยม โดยให้ถือว่าเวลาหลังเที่ยงคืนเป็นเวลาเปลี่ยนวันใหม่ และให้ถือเวลาที่ตำบลกรีนิช ประเทศอังกฤษเป็นมาตรฐาน ซึ่งเวลาในประเทศไทย เป็นเวลาก่อนหรือเร็วกว่าเวลาที่กรีนิช 7 ชม. เช่น ไทยเป็นเวลา 19.00 น. ทางกรีนิชเท่ากับ 12.00 น. เป็นต้น

 ผู้ที่ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทยเครื่องแรก

        ผู้ที่ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทยเครื่องแรก คือ มิสเตอร์เอ็ดวิน แมกพาแลนด์ ยี่ห้อเรมิงตัน

นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย

        นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย คือ พระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เข้าดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 - 20 มิถุนายน พ.ศ.2476 ส่วนนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่งคือ นายควง อภัยวงศ์ หลังจากที่เข้าดำรงตำแหน่งได้ประมาณ 1 เดือนเศษ ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2491 ได้ถูกคณะนายทหารเข้าพบ เพื่อขอร้องแกมบังคับ ให้ลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้เพื่อเปิดทางให้กับจอมพลป. พิบูลสงคราม กลับเข้าเป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 3

ภาพ:manopakorn.jpg


ยศสูงสุดของทหารไทย

        ยศสูงสุดของทหารไทย คือ ยศจอมพล แต่ปัจจุบันไม่มีการแต่งตั้งแล้ว ยศสูงสุดทางทหารในปัจจุบันคือ “พลเอก” ผู้ที่เป็นจอมพลคนแรกของไทยคือ จอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภานุพันธุวงศ์วรเดช ทรงเป็นต้นสกุล “ภาณุพันธุ์” ส่วนจอมพลคนแรกในระบอบประชาธิปไตย คือ จอมพลป. พิบูลสงคราม และคนสุดท้าย ที่ดำรงตำแหน่งจอมพลในระบอบประชาธิปไตยคือ จอมพลประภาส จารุเสถียร เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2516 (สำหรับพระมหากษัตริย์ จะทรงดำรงตำแหน่ง “จอมทัพไทย”)

ผู้ประพันธ์เพลงชาติไทยในปัจจุบัน

        ผู้ประพันธ์เพลงชาติไทยในปัจจุบัน คือ พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยากร) เป็นผู้แต่งทำนอง และหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) เป็นผู้แต่งเนื้อร้อง เมื่อ พ.ศ. 2483

 ผู้ที่คิดฝนเทียม หรือ ฝนหลวง ขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย

        ผู้ที่คิดฝนเทียม หรือ ฝนหลวง ขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช โดยได้ทรงค้นคิดและวิจัยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 และทรงถ่ายทอดแนวพระราชดำริ และผลการวิจัยแก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล วิศวกรผู้เชี่ยวชาญทางการเกษตร จนมีการทำฝนหลวงพระราชทานครั้งแรก ในปีพ.ศ. 2512

มกุฎราชกุมารพระองค์แรก ที่ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก

        มกุฎราชกุมารพระองค์แรก ที่ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร


 สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรก ที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย

        สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรก ที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยทรงจบอักษรศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อปี พ.ศ. 2519

 คนไทยคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสมัชชาใหญ่ แห่งสหประชาชาติ

        คนไทยคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสมัชชาใหญ่ แห่งสหประชาชาติ คือ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2499

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

มติ ครม. 25 ธันวาคม 2555 ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

 มติ ครม. 25 ธันวาคม 2555 ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ   โพสต์เมื่อวันที่ : 25 ธ.ค. 2555



  นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ ๒ เรื่อง คือ เห็นชอบในหลักการดำเนินโครงการทุนศึกษาด้านการสอนภาษาต่างประเทศที่สองเพื่อ ผลิตครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลน และอนุมัติปรับเปลี่ยนโครงการคูปองสร้างเสริมอัจฉริยะ เป็นโครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะ

►โครงการทุนการศึกษาด้านการสอนภาษาต่างประเทศที่สอง เพื่อผลิตครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลน

ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการดำเนินโครงการทุนศึกษาด้านการสอนภาษาต่าง ประเทศที่สองเพื่อผลิตครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลน พร้อมทั้งอนุมัติอัตราข้าราชการครูเพื่อบรรจุผู้รับทุนจำนวน ๖๐๐ อัตรา ในช่วงปี ๒๕๕๖-๒๕๖๑ โดยเฉลี่ย ๑๕๐ ทุนต่อปี ทั้งนี้จำนวนทุนต่อปีอาจปรับเพิ่ม-ลดไม่เกินร้อยละ ๕ ตามสถานการณ์ที่จำเป็น โดยใช้งบประมาณดำเนินการตามโครงการรวมทั้งสิ้น ๗๘ ล้านบาท

สาระสำคัญของโครงการ เพื่อผลิตครูสอนภาษาต่างประเทศให้แก่โรงเรียนในสังกัด สพฐ. จำนวน ๖๐๐ คน ในช่วงเวลา ๖ ปี ตั้งแต่ปี ๒๕๕๕-๒๕๖๑ ประกอบด้วย

- ภาษาญี่ปุ่น ๒๐๐ คน
- ภาษาเกาหลี ๑๔๐ คน
- ภาษาเยอรมัน ๔๐ คน
- ภาษาฝรั่งเศส ๖๐ คน
- ภาษาสเปน ๔๐ คน
- ภาษารัสเซีย ๒๐ คน
- ภาษาเวียดนาม ๒๕ คน
- ภาษาพม่า ๒๕ คน
- ภาษาเขมร ๒๕ คน
- ภาษาบาฮามาเลย์/อินโดนีเซีย ๒๕ คน

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนครูสอนภาษาต่างประเทศ ซึ่งเป็นภาษาที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลกและเป็นประเทศคู่ค้าของไทย รวมทั้งประเทศในอาเซียน เพื่อเตรียมนักเรียนของไทยให้พร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และได้เปรียบในเชิงภาษา โดยเป็นการให้ทุนแก่นักศึกษาชั้นปีที่ ๕ หรือบัณฑิตวิชาเอกภาษาที่ขาดแคลน เข้ารับการอบรมทักษะภาษาและการสอนที่จัดโดยองค์กรประเทศเจ้าของภาษา พร้อมทั้งไปเข้ารับการอบรมในประเทศนั้นๆ ด้วย และเมื่อสำเร็จการศึกษาพร้อมทั้งได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูจากคุรุสภา ซึ่งจะพิจารณาให้เป็นกรณีพิเศษแล้ว ก็จะได้รับการบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นครูสอนภาษาต่างประเทศที่สองใน โรงเรียน สพฐ.ต่อไป

เหตุผลที่ต้องเสนอเรื่องนี้เข้าคณะรัฐมนตรี คือ คปร.ได้กำหนดมาตรการตรึงกรอบอัตรากำลังข้าราชการในภาพรวม ทำให้การจัดสรรอัตราข้าราชการครูเพื่อรองรับการบรรจุผู้รับทุนเหล่านี้ จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาจาก ครม.ก่อน รวมทั้งเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ ก.ค.ศ.เรื่องการรับนักศึกษาทุนรัฐบาลเข้าบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการครู ต้องผ่านความเห็นชอบจาก ครม.ด้วย


►อนุมัติปรับเปลี่ยนโครงการคูปองสร้างเสริมอัจฉริยะ เป็นโครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะ

ครม.มีมติอนุมัติปรับเปลี่ยนโครงการคูปองสร้างเสริมอัจฉริยะ ตามที่บรรจุไว้ใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๖ เป็นโครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะ โดยใช้ระยะเวลาและงบประมาณการดำเนินโครงการคงเดิม

สาระสำคัญของโครงการ จากการที่ ครม.ได้เห็นชอบให้ดำเนินการโครงการคูปองสร้างเสริมอัจฉริยะ เพื่อจัดสรรคูปองให้กับเด็กและเยาวชนที่เรียนดี มีความประพฤติดี นำไปแลกหนังสือจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ โดยใช้งบประมาณ ๔๕๐ ล้านบาท นั้น ต่อมา ศธ.ได้ขอให้นำความกราบบังคมทูลสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขอพระราชทานพระราชานุญาตดำเนินโครงการดังกล่าว ในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ ๕ รอบในปี ๒๕๕๘ ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชกระแสขอเปลี่ยนจากการจัดโครงการดังกล่าว เป็นการจัดซื้อหนังสือให้ห้องสมุดต่างๆ

ดังนั้น สำนักงาน กศน. จึงได้จัดทำโครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะ โดยจะดำเนินการจัดหาหนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสารรายสัปดาห์ รายปักษ์ หนังสือสำหรับห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารี เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติในโอกาสดังกล่าว รวมทั้งเพื่อกระตุ้นและเสริมสร้างนิสัยรักการอ่านให้กับประชาชน ตลอดจนเพื่อสร้างโอกาสให้กับประชาชนได้เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ในรูปแบบบ้าน หนังสืออัจฉริยะ หรือห้องสมุดประชาชนหมู่บ้าน/ชุมชน/ห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารี จำนวน ๔๐,๐๐๐ แห่ง และในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๑,๘๐๐ แห่ง รวมทั้งห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารี จำนวน ๘๗ แห่ง ได้อย่างต่อเนื่อง โดยใช้ระยะเวลาและงบประมาณดำเนินการโครงการคงเดิม

http://www.moe.go.th/websm/2012/dec/346.html 

ดูดวงปี 2556 หมอลักษณ์ฟันธง

http://www.rakjung.com/horoscopes-no181.html

ส.ค.ส.พระราชทาน ปี 2556 ในหลวงทรงชี้เมตตา-นำสุข

http://www.kanchanapisek.or.th/speeches/2012/1231.th.html

เด็กไทยติด “สมาร์ทโฟน” กับดักเทคโนโลยีบนความอยาก

 เด็กไทยติด “สมาร์ทโฟน” กับดักเทคโนโลยีบนความอยาก

« เมื่อ: มกราคม 02, 2013, 08:32:15 PM »
โดย...สานนท์ เจริญพันธุ์
       
      เทคโนโลยีเพื่อการติดต่อสื่อสารที่รุดหน้าไปอย่างก้าวกระโดด ช่วยอำนวยความสะดวกสบาย

ให้แก่ผู้ใช้งาน แม้เดินทางไปที่ใดไม่มีโน๊ตบุคส์ติดมือ เพียงแค่มีสมารท์โฟน หรือแท็บเล็ตสักเครื่อง
ก็ช่วยให้ชีวิตการทำงาน การสื่อสารระหว่างกันง่ายขึ้นผ่านใช้งานด้วยวิธีการ “แชท” ผ่านแอปพลิเคชัน
 อาทิ ไลน์ วอทซ์แอป หรือบีบี เท่านี้ก็รู้เรื่องโดยไม่ต้องยกหูส่งเสียงเช่นที่ผ่านมา
       
       ที่สำคัญปฏิเสธไม่ได้ว่าความก้าวหน้าเหล่านี้ยังส่งผลต่อกลุ่มวัยรุ่นยุค ศตวรรษที่ 21 ที่เกิดมาในยุค

ของความรุ่งเรืองของเทคโนโลยีต่างไปจากยุคก่อนๆ ที่สิ่งเหล่านี้เข้ามาอยู่ในวิถีชีวิตแบบก้ำกึ่ง ดังนั้น 
ทุกวันนี้หันไปทางใดก็จะเห็นว่ากลุ่มวัยรุ่นทุกคนล้วนมีสมาร์ทโฟนคู่ใจราคา สูงลิ่วที่บรรดาพ่อแม่ยอม
ควักเงินซื้อให้ถือติดมือทั้งนั้น บางรายมีถึง 2 เครื่องแม้จะคนละยี่ห้อก็ตาม และด้วยคุณสมบัติชั้นเลิศ
ตามที่กล่าวมาข้างต้นส่งผลให้เด็กวัยรุ่นพกพาไปทุก ที่ แชททุกเวลาไม่เว้นแม้แต่ในห้องเรียน
       
      “นั่งหลังห้อง แอบเล่นใต้โต๊ะ บ้างก็แชทคุยกับแฟน ร้ายไปกว่านั้นก็จะขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำบ้าง 

แกล้งป่วยบ้าง แล้วไปนั่งเล่น เปิดเครื่องแชทกันทั้งวัน” คำบอกเล่าบางส่วนจากนายอนุสรณ์ กะดามัน
 ครูผู้สอนภาษาไทย โรงเรียนวัดบวรนิเวศ
       
       ครูอนุสรณ์ บอก ด้วยว่า เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มีในปัจจุบันเอื้อประโยชน์ต่อการให้เด็กนำไปใช้เพื่อ

การค้นคว้าหาความรู้ ได้ง่ายขึ้น แต่ปรากฎว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะใช้ประโยชน์ในสิ่งนี้ ส่วนมาก
เด็กนำมาใช้เพื่อเล่นเกมฟังเพลงในชั้นเรียน ซึ่งประสบการณ์ตรงในฐานะครูผู้สอนนั้น ตนเห็นได้ชัดว่า
นักเรียนมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป ไม่ตั้งใจเรียน บางรายติดแชทตลอดเวลาที่เรียน ไม่สนใจในการเรียนขา
สมาธิ พอสอบถามเรื่องที่เรียนก็ตอบไม่ได้ เพราะเอาสมาธิที่มีไปสนใจกับการแชท พอถึงเวลาสอบก็
ทำไม่ได้ก็ปรากฎว่าการเรียนตกไปกว่าที่เคย ซ้ำร้ายไปกว่านั้นผู้ปกครองไม่เข้าใจว่าเหตุใดผลการเรียน
ลูกตกก็ไม่ได้คิด ว่าเพราะลูกไม่ตั้งใจ แต่เชื่อที่ลูกบอกว่าที่ผลการเรียนตกลงต้นเหตุเพราะครูสอนไม่เข้า
ใจ
       
      สิ่งที่ตนเป็นห่วงที่สุด คือ การที่ผู้ปกครองซื้อสมาร์ทโฟนราคาสูงให้เด็กใช้เป็นการสร้างค่านิยมผิ
ด 

 สร้างความฟุ้งเฟ้อใช้ของเกินตัวซึ่งยังไม่เหมาะสมกับวัย แล้วเมื่อมีของก็นำมาอวดกันในหมู่เพื่อน
       
       ในมุมกลับกัน ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ ภาควิชาจิตวิทยา

 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ มุมมองเพิ่มเติมว่า ตอนนี้เลยเวลาที่จะมาตั้งคำถามแล้วว่าเด็กควร
ใช้หรือไม่ใช้สมาร์ทโฟน เพราะยุคนี้เป็นยุคของเทคโนโลยี อีกทั้งเวลานี้ประเทศไทยได้สนับสนุนและ
กระตุ้นให้เด็กใช้เทคโนโลยี เช่น เด็กประถมศึกษาปีที่ 1 ก็ใช้แท็บเล็ตในการเรียนแล้ว เพราะฉะนั้น 
 เทคโนโลยีจึงมีความจำเป็นสำหรับเด็กทุกวัย
       
      “แต่ผลเสียที่เกิดขึ้นต้องมีแน่นอน คือเราพัฒนาให้เด็กไทยรู้จักเทคโนโลยี เข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่าย 

หมายถึงหาซื้อได้ง่ายและกลายเป็นกระแสแห่งความถูกต้องชอบธรรมที่เด็กจะใช้ เทคโนโลยี แต่ข้อเสีย
ก็คือเราไม่ได้พัฒนามิติของวุฒิภาวะของเด็กเลย เรื่องของสำนึกความรับผิดชอบ เด็กไทยยังต่ำมากแล้ว
ก็ถูกละเลยจากครอบครัว จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นโรงเรียน หรือหน่วยงานที่พัฒนาเยาวชน 
ไม่มีรูปธรรมที่ชัดเจนหรือแผนการที่ชัดเจน ในยุทธศาสตร์ของการพัฒนาวุฒิภาวะ ความรับผิดชอบ
ในตนเอง การยับยั้งชั่งใจ การใช้สติพิจารณาตนเอง เด็กไทยถือว่าต่ำมาก เพราะฉะนั้นพอเราไปกระตุ้น
การใช้เทคโนโลยี สร้างความชอบธรรม แต่ในขณะที่วุฒิภาวะของเด็กน้อย ผลเสียมันก็จะตามมาคือเด็ก
จะใช้เทคโนโลยีไปในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การแชท เล่นเกม ในห้องเรียน”
       
       อ.ปนัดดา บอก ด้วยว่า กรณีที่เด็กเล่นโทรศัพท์หรือติดเทคโนโลยีจนขาดสมาธิและความตั้งใจ

ในการเรียน นั้นเพราะเด็กเหล่านี้ขาดวุฒิภาวะ แต่คนที่จะใช้เทคโนโลยีได้ต้องมีวุฒิภาวะ เช่นคุณจะอ่าน
หนังสือคุณต้องปิดโทรศัพท์ แต่เด็กเหล่านี้ไม่ได้ถูกสอนเรื่องวุฒิภาวะมา คุณต้องมีความรับผิดชอบ 
 มีวินัยต่อตนเอง เด็กไทยไม่ได้ถูกฝึกในส่วนนี้ พ่อแม่ โรงเรียน หรือทักษะทางสังคมไม่ได้ช่วยสร้างปัจจัย
ในการฝึกฝนให้เด็กรู้จักแยกแยะ แบ่งเวลาที่เหมาะสม ทำให้เวลาเรียนแทนจะสนใจตั้งใจเรียน 
 ก็อาจจะเบนความสนใจไปที่การแชทพูดคุยกับเพื่อนมากกว่า
       
      “ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องโทรศัพท์อย่างเดียว แต่สังคมไทยในยุคนี้เป็นยุคของทุนนิยม รวมถึงการถูก

กระตุ้นจากระบบทางการตลาด ซึ่งในบางประเด็นรัฐก็เป็นผู้ส่งเสริมทำให้ความต้องการในเรื่องของ
เทคโนโลยี มีมากขึ้น สำหรับคนที่ไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ ขาดความห้ามใจก็อาจจะตกเป็นเหยื่อของ
การตลาดได้ง่าย และการที่รัฐไปมุ่งเน้นไปในเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจมากเกินไป ก็อาจทำให้หลงลืมบท
บาทในการพัฒนาสังคมและเยาวชน”อ.ปนัดดา กล่าวทิ้งท้าย


ขอขอบคุณข่าวสาร/ข้อมูลดีๆ จากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ



อาหารช่วยสร้างคอลลาเจน


อาหารเพิ่มคอลลาเจน ผิวสวย เต่งตึง แบบธรรมชาติ

เกร็ดเรื่องน่ารู้ที่เราได้นำมาแนะนำกับอาหารเพิ่มคอลลาเจน ซึ่งจะช่วยให้คุณผู้หญิงทั้งหลายมีผิวพรรณที่สวยและเต่งตึงขึ้นแบบธรรมชาติ อีกด้วยค่ะ ถึงเวลาแล้วนะค่ะที่สาวๆ ทั้งหลายจะต้องรู้และเข้าใจความรู้เรื่อง อาหารเพิ่มคอลลาเจน ซึ่งนอกจากจะมาจากธรรมชาติให้คุณผู้หญิงได้สวยเต่งตึงจากภายในแล้ว อาหารเพิ่มคอลลาเจน ยังจะช่วยให้คุณมีผิวพรรณที่ดีและไม่เป็นอันตรายอย่างแท้จริงค่ะ ที่สำคัญไปยิ่งกว่าคือ คุณจะประหยัดตังค์ในกระเป๋าได้อีกเยอะเลยเพราะไม่ต้องซื้อครีมราคาแพงที่ผสม คอลลาเจนแต่ไม่สามารถใช้ได้ผลจริงจริงไหมค่ะ ฉะนั้นแล้วจะมีอะไรดีไปกว่าการสวยจากภายในจริงไหมค่ะ ฉะนั้นแล้ว อาหารเพิ่มคอลลาเจน ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ถือได้ว่าเป็นความรู้ชั้นดีตัวจริงเรื่องผิวเต่ง ตึงและสวยตามธรรมชาติ ว่าแล้วอย่ามัวรอช้าหากอยากมีผิวเต่งตึงแบบธรรมชาติก็มาทำความรู้จักกับ อาหารเพิ่มคอลลาเจนเพื่อผิวสวย เต่งตึง กันได้เลยจ้า
อาหารเพิ่มคอลลาเจน ผิวสวย เต่งตึง แบบธรรมชาติ


5 อาหารเพิ่มคอลลาเจน


1. ถั่วเหลือง มีสารกลุ่มไอโซฟลาโวนที่มีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมฮอร์โมนเพศหญิงทานแล้วผิวจึงสดใส เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล

2. ผักใบเขียวเข้ม นอกจากจะมีวิตามินซีสูงมากๆ ก็ยังช่วยส่งเสริมการนำโปรตีนมาบำรุงร่างกายและเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็ง แรง พบมากในผักโขม คะน้า หน่อไม้ฝรั่ง ผักกาดหอม เป็นต้น

3. ผลไม้สีแดง แหล่งคอลลาเจนชั้นดีและมีสารไลโคปีนที่เด่นในเรื่องแอนติออกซิแดนท์ที่ เกี่ยวข้องกับการสร้างคอลลาเจน ลองทานพริกไทยแดง หัวบีท มะเขือเทศ หรือลูกเบอรี่สายพันธุ์ต่างๆ ที่ดีทั้งนั้นต่อผิวสวยๆ

4. กรดโอเมก้า เป็นอาหารที่ดีกับผิวจริงๆ เพราะผิวประกอบด้วยโปรตีนเฉกเช่นเดียวกับสารอาหารชนิดนี้ที่เป็นแหล่งโปรตีน เข้มข้น หาทานได้จากปลาแซลมอน ปลาทูน่า ถั่วอัลมอนด์ และอะโวคาโด เป็นต้น

5. สารซัลเฟอร์ เป็นสารอาหารที่สำคัญมากต่อการเสริมสร้างคอลลาเจนพบในแครอตดิบ แคนตาลูปสด และผักขึ้นฉ่ายสด แตงกวาสด ที่มากด้วยวิตามินเอ ทำหน้าที่ในการรักษาพยุงระดับคอลลาเจนให้สูง เมื่อได้ดูแลส่วนอื่นๆ ประกอบกัน
http://www.n3k.in.th/%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%99